พระพุทธศาสนากับความมั่นคงของมนุษย์

          
             มนุษย์เกิดมาย่อมต้องการความมั่นคง ซึ่งคนส่วนใหญ่แล้วมักนึกถึงความมั่งคั่งร่ำรวย มีอันจะกิน เพราะเมื่อมีเงินแล้ว สวัสดิภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายก็ตามมา ยังไม่ต้องพูดถึงบริษัทบริวารที่ห้อมล้อม  แต่ทั้งหมดนี้จะมีความหมายอะไร หากชีวิตไม่มีความสุข ปราศจากความรักและความอบอุ่นจากครอบครัวและมิตรสหาย   ถึงจะมีพวกแต่ไร้เพื่อน จิตใจก็คงอ้างว้าง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวในยามที่อยู่คนเดียว  ยิ่งเงินที่มีอยู่นั้น มิได้มาด้วยวิธีการที่ชอบธรรม ก็ย่อมเกิดความเดือดเนื้อร้อนใจ

            ในขณะที่มนุษย์พากันแสวงหาความมั่นคงนั้น  สิ่งที่มักถูกมองข้ามไปก็คือ ความมั่นคงของจิตใจ   แม้จะมีเงินมากมายมหาศาล  แต่ถ้าจิตใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หวาดกลัว รุ่มร้อน  รู้สึกพร่อง ไม่รู้จักพอ   ขาดความสุขสงบเย็น ก็ยากที่จะรู้สึกว่าชีวิตมีความมั่นคง   ดังนั้นระหว่างความมั่นคงกับความสุข แล้วคุณจะเลือกอะไร  แน่นอนว่า หลายคนเลือกที่จะเป็นคนมี "ความสุข" มากกว่าเป็นคนที่มี "ความมั่นคง" เพราะการมีทรัพย์สิน มีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ได้หมายถึงว่ามนุษย์จะมีความสุขไปกับมัน แต่ความสุขมันมีมากกว่านั้น
             ในสมัยพุทธกาลมีพระราชาองค์หนึ่งชื่อว่าพระเจ้าภัททิยะ เป็นพระญาติกับพระพุทธเจ้า  ต่อมาได้ออกบวชเพราะทนการรบเร้าอ้อนวอนของเพื่อนไม่ได้   เมื่อบวชแล้วก็ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ไม่ว่าท่านอยู่ที่ใด ในป่าหรือใต้ร่มไม้  ท่านมักจะเปล่งอุทานว่า สุขหนอๆ” เป็นประจำ  เพื่อนภิกษุได้ยินก็เข้าใจว่าท่านไม่ยินดีในการบวช จึงไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงรับสั่งให้เรียกท่านมาแล้วถามเหตุผล  พระภัททิยะจึงตอบว่า เมื่อครั้งเป็นฆราวาสครอบครองราชสมบัติ  แม้มีทรัพย์และบริวารมาก มีคนคอยดูแลปกป้องรอบข้าง ก็ยังอดสะดุ้งจิตหวาดกลัวไม่ได้  แต่บัดนี้ไม่ว่าข้าพระองค์อยู่ที่ใดเพียงลำพัง ก็ไม่รู้สึกสะดุ้งกลัว มีแต่ความสุขในทุกหนแห่ง  จึงเปล่งอุทานเช่นนั้น

            สำหรับพระภัททิยะแล้ว แม้เป็นกษัตริย์ก็มิได้รู้สึกมีความมั่นคงในชีวิตเลย สาเหตุก็เพราะจิตใจไม่มีความมั่นคงอย่างแท้จริง

            มีหลายสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไม่รู้สึกมั่นคงในจิตใจ สิ่งหนึ่งก็คือ ความกลัว ดังกรณีของพระภัททิยะ  หลายคนอาจไม่ได้กลัวอันตราย  แต่กลัวการสูญเสีย อาทิ การสูญเสียทรัพย์   เป็นธรรมดาที่ว่า ยิ่งฝากชีวิตไว้กับทรัพย์สินเงินทองมากเท่าใด ก็ยิ่งกลัวการสูญเสียทรัพย์มากเท่านั้น  นี้คือทุกข์ข้อแรกของคนมีทรัพย์ ซึ่งนำไปสู่ทุกข์ประการต่อมา คือ ต้องเหน็ดเหนื่อยในการปกป้องรักษาทรัพย์ แม้ไม่เหนื่อยกายก็เหนื่อยใจ ยังไม่ต้องพูดถึงก่อนหน้านั้นที่ต้องดิ้นรนขวนขวายในการหาทรัพย์ ซึ่งแม้ประสบความสำเร็จ แต่ความสุขที่เกิดขึ้นก็ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ช้าไม่นานก็รู้สึกเฉยๆ หรืออาจถึงกับเบื่อด้วยซ้ำ ทำให้อยากได้ของใหม่  (คนที่ดีใจเพราะได้ iPhone 5S เมื่อปีที่แล้ว  ตอนนี้ส่วนใหญ่คงไม่ปลื้มกับมันแล้วเพราะเห็น iPhone 6 วางตลาด)

            ดังนั้นนอกจากความกลัวแล้ว  ความอยากได้ไม่รู้จบก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จิตใจไม่มั่นคง เพราะรู้สึกพร่องอยู่เสมอ  คนที่คิดว่าคำตอบของชีวิตอยู่ที่ทรัพย์สินเงินทอง (รวมไปถึงอำนาจ) จะไม่เคยรู้สึกพึงพอใจในชีวิตเลย เพราะได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ  ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าแม้ได้อะไรมามากมาย แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปจากชีวิต

     เฟอร์ดินานด์  มาร์กอส  (Ferdinand Marcos)  อดีตประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ซึ่งทรงอำนาจอย่างยิ่งเมื่อ 40 ปีก่อน ได้เปิดเผยความในใจในบันทึกของตนเมื่อครั้งที่ถึงจุดสูงสุดของชีวิต ว่า  ผมมีอำนาจมากที่สุดในฟิลิปปินส์  ผมมีทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝัน พูดให้ถูกต้องคือ ผมมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างเท่าที่ชีวิตต้องการ มีภรรยา ซึ่งเป็นที่รักและมีส่วนร่วมในทุกอย่างที่ผมทำ  มีลูกๆ ที่ฉลาดหลักแหลมและสืบทอดวงศ์ตระกูล มีชีวิตที่สุขสบาย ผมมีทุกอย่าง แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกไม่พึงพอใจในชีวิต
            สำหรับมาร์คอส ความมั่นคงของชีวิตที่ผู้คนเห็นจากภายนอกนั้น มีความหมายต่อเขาน้อยมากตราบใดที่เขายังไม่รู้สึกพึงพอใจในชีวิต
           มาร์กอสกับพระภัททิยะนั้นเป็นภาพที่ตัดกันอย่างสิ้นเชิง  คนหนึ่งมีทรัพย์และอำนาจล้นฟ้าแต่ไม่มีความสุข อีกคนไม่มีอะไรเลยนอกจากบาตรและจีวร แต่มีความสุขอย่างยิ่ง    
            สิ่งที่ชีวิตของมนุษย์ต้องการอย่างแท้จริงนั้น หาใช่ทรัพย์สินเงินทองไม่ แต่คือความสงบเย็นในจิตใจ  พูดเช่นนี้มิได้หมายความว่าทรัพย์สินไม่สำคัญ  ทรัพย์สินนั้นมีประโยชน์ตราบใดที่มนุษย์รู้จักใช้มัน ไม่ลุ่มหลงเพราะรู้ว่ามันมีข้อจำกัดอย่างไร  แต่หากลุ่มหลงมันแล้ว  มนุษย์ก็กลายเป็นทาสของมันทันที  อีกทั้งมันจะกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้มนุษย์เข้าถึงความสงบเย็นในจิตใจ อันเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความสุขและความมั่นคงในจิตใจอย่างแท้จริง

        ยิ่งปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจและสังคม ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีได้ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปเป็นสังคมยุคโลกาภิวัตน์ ความเจริญทางวัตถุได้ล้ำหน้ากว่าความเจริญทางจิตใจมาก ทำให้เกิดช่องว่างที่ห่างไกลระหว่างความมั่นคงทางวัตถุและความมั่งคั่งทางจิตใจ ทำให้คนตกอยู่ภายใต้กระแสวัตถุนิยมและบริโภคนิยม กระแสธรรมนิยมอ่อนกำลังลง ทำให้คนเป็นจำนวนไม่น้อยไม่เห็นความสำคัญของศาสนา และจิตใจ เป็นเหตุทำให้มนุษย์หลงอยู่กับวัตถุ มายาภาพ  ซึ่งตราบใดที่มนุษย์ยังหลงในมายาภาพดังกล่าว มนุษย์จะไม่มีวันพบกับความสุขที่แท้จริงได้เลย    ต่อเมื่อมนุษย์เห็นความจริงว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้หรือมั่นคงอย่างแท้จริงเลย  มนุษย์จึงจะพบกับความสงบเย็น เพราะจิตไม่ลุ่มหลงยึดติดกับสิ่งใดๆ อีกต่อไป  ไม่ว่ามีอะไร ก็รู้ว่าสักวันหนึ่งมันย่อม หมดไป  ดังนั้นเมื่อวันนั้นมาถึง จึงไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศก เสียใจ หรือโกรธแค้น จิตใจยังคงเป็นปกติ มั่นคง ไม่หวั่นไหว
             การค้นพบบ่วงกรรมของพระพุทธเจ้านั้น เป็นการสร้างความมั่นคงในระดับสูงสุด คือในระดับจิตใจ  ซึ่งนั่นก็คือหนทางแห่งการพ้นจากทุกข์  ซึ่งแม้หากมนุษย์เราปฏิบัติได้เพียงระดับหนึ่งก็นำพาความสุขมาสู่เราได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาความสุขจากภายนอกเลย  


              อมาตยา เซน (Amartya Sen) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอินเดีย เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 1998  โดยท่านได้กล่าวสะท้อนมุมมองเรื่องแนวคิด เกี่ยวกับความมั่นคงของมนุษย์ ด้านการปลอดพ้นจากความหวาดกลัว  มีความตอนหนึ่งว่า  “ความมั่นคงของมนุษย์เป็นปัญหาเก่าแก่ หากย้อนกลับไปสมัยพุทธกาลเมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว พระพุทธเจ้าต้องการสร้างความมั่นคงให้แก่มวลมนุษยชาติ ซึ่งความมั่นคงดังกล่าวคือความมั่นคงทางจิตใจ พระองค์เห็นความทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บตายจึงพยายามหาเหตุแห่งทุกข์ดังกล่าว จึงพยายามค้นหาทางดับทุกข์ดังกล่าว การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า การเผยแพร่ธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นเป็นการสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้กับ มนุษย์ ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงในระดับจิตใจ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้เข้าใจรากเหง้าของสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ และคำสอนดังกล่าวยังสามารถปรับใช้กับสภาวะการณ์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี (อ้าง Amartya Sen : Nobel Prize winners (economics) , achievement : contributions to welfare economics)
            ดังนั้น  การปฏิบัติตามแนวทางหลักคำสอนพระพุทธศาสนา  จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  เพราะมีผลโดยตรงต่อการอยู่ดีมีสุขของมนุษย์ ซึ่งถือว่าเป็นสุขสูงสุดหรือสุขที่เกิดจากขัดเกลากิเลสออกจากใจ เป็นการหลุดพ้น (วิมุตติสุข) จากสิ่งไม่เที่ยง ไม่จิรัง ไม่มั่นคง  เสริมสร้างสันติสุขและความมั่นคงของมนุษย์โดยปราศจากทรัพย์สมบัติภายนอก และเป็นความมั่นคงที่เกิดขึ้นจากจิตใจของเราเองซึ่งถือว่าเป็นจุดศูนย์รวมความมั่นคง (Centre of Security) การดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกวันนี้

สติมา นารีนุช
นักวิชาการศึกษา